วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ 5  บันทึกการศึกษาดูงานมาเลเซีย-สิงคโปร์
24-28 มกราคม 2554
คณะนักศึกษา ป.บัณฑิต  บริหารการศึกษา  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
24 มกราคม 2554
            ออกเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดการเล็กน้อย (4.40 น.) อากาศเช้านี้สายฝนโปรยปรายทำให้เย็นสบายสำหรับการเดินทาง  คณะนักศึกษา  ป.บัณฑิตบริหารการศึกษา มรภ. นครศรีฯ และคณาจารย์ (อาจารย์ไพศาล อาจารย์ทรงพล  อาจารย์นพรัตน์  อาจารย์สาลินี และอาจารย์เย็นฤดี) ร่วมเดินทางโดยรถบัสเพื่อศึกษาดูงาน ณ ประเทศมาเลเซีย และประเทศสิงคโปร์ 
เรามุ่งหน้าสู่ด่านจังโหลน (บ้านด่านนอก  อ. สะเดา จ. สงขลา) เพื่อตรวจสอบ passport  เวลา  ประมาณ 9.10 น. 
เดินทางต่อเข้าสู่ด่าน บูกิตกายูฮิตัม (ด่านเขาไม้ดำ) อยู่ในรัฐเปอร์ลิส  เวลา 10.30 น. เราต้องขนสัมภาระให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโดยละเอียด....ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี  เดินทางต่อสู่เขตรัฐเคดาร์ (รัฐไทรบุรี)  รัฐเคดาร์พื้นที่ส่วนใหญ่ปลูกข้าว  ได้ชื่อว่าเป็น อู่ข้าวอู่น้ำ    ของมาเลเซีย
            ศึกษาดูงาน  โรงเรียน Sekolah Kebangsaan Kodiang  เด็กนักเรียนต้อนรับพวกเราน่ารักดี  อาหารมือแรกของเราเป็นข้าวหมกไก่ย่าง...กับส้มแมนดาริน...(รสชาติอร่อย...แบบแปลกๆ)  โรงเรียนนี้สร้างเมื่อปี  1932  ครู 47 คน  เป็นโรงเรียนที่สอน 3 ภาษา
            เวลา 13.40 น.  ก่อนออกเดินทางสู่ปีนัง (Penang)  แวะแลกเงินริงกิตและสิงคโปร์ดอลล่า (SGD)  รถมุ่งหน้าสู่ปีนัง (รัฐที่มีวัดพุทธ วัดจีน วัดแขก มัสยิดและโบสถ์)  เราเดินทางข้ามสะพานข้ามฟากและสะพานปีนัง (Penang Bridge)  สะพานที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร  เป็นสะพานแขวนที่ยาวเป็นอันดับ 4 ของโลก สร้างเมื่อปี 1985 สมัย ดร. มหาธีร์ โมฮัมหมัด (มหาเดย์)  เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศมาเลเซีย
            ทานอาหารมื้อค่ำที่ร้าน “Makananlaut” เป็นอาหารจีน (รสชาติ...ก็จืดๆ) บรรยากาศหน้าร้านสวยดีพวกเราเลยถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก  เข้าสู่ที่พักประมาณ 4 ทุ่ม (เวลาท้องถิ่นมาเลเซีย) คืนนี้พักโรงแรม Grand Continental Hotel  ไกด์นัดหมายเวลาพรุ่งนี้ 6.30 (wake up) 7.30  (breakfast) 8.30 (go)
25 มกราคม 2554
            เช้านี้ทานอาหารเช้าของโรงแรม (ค่อยดีหน่อย...เลือกที่ชอบทานได้)  ออกเดินทางจากโรงแรมประมาณ 07.45 น.  เพื่อไปชมป้อมปืน และท่าเทียบเรือ Star Cruises เราผ่านวงเวียนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองปีนังด้วย (นั่นคือลูกหมาก)  ไกด์แนะนำเราว่า ป้อมปืนนี้สร้างเมื่อปี 1817 เป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคม ไกด์เราชื่อว่า นายวีรพนธ์  หรือ บังมุสตาฟา เราเรียกง่ายๆ ว่าบังมุส  (เป็นผู้ให้ความรู้เราตลอด Trip นี้)  แวะถ่ายรูปกันแบบหืดขึ้นคอ (15นาที)เป็นโชคดีของเราที่เรือ Star Cruises เข้าเทียบท่าพอดีจึงได้ภาพสวยๆ ติดมือมาด้วย 
            มื้อเที่ยงวันนี้เราทานกันที่ร้าน Garden Restaurant (มาเลเซียเขียนว่า Restoran)  เป็นอาหารจีนที่มีเมนูแปลกเป็นขนมปัง (bun) ทานกับกุ้งผัดซอส (รสชาติอาหารเราเริ่มชินกันแบบ...จำยอม)  ทานอาหารเสร็จเรามุ่งหน้าสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวงของมาเลเซีย) ระหว่างทางแวะถ่ายภาพกับพระราชวังแห่งชาติอิสตาน่า เนการ่า  (Istana Negara) เราได้แค่ชมความงามอยู่นอกรั้วและถ่ายรูปคู่กับทหารม้า              พวกเราเหนื่อย....กับการวิ่งถ่ายรูป  (ต้องวิ่งไม่งั้นเราจะไม่ได้ถ่ายทุกมุม...เล่นเอาเหงื่อตกแต่ก็ยอม)  น้องๆ Staff เรียกพวกเราขึ้นรถ เพื่อไปถ่ายรูปและเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ทหารอาสา สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้แก่ทหารอาสา เมื่อครั้งร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II)    
            เวลาประมาณ 14.30 น. แวะถ่ายภาพ ณ จัตุรัสเมอร์เดก้า (
Merdaka Square
) หรือจัตุรัสอิสรภาพ  คนมาเลย์จะเฉลิมฉลองวันชาติกันที่นี่  ซึ่งรายล้อมไปด้วยอาคารยุคอาณานิคม  เป็นสถาปัตยกรรมแบบอินเดียและอาหรับที่งดงาม  จุดเด่นคือ เสาธงที่สูงถึง 100 เมตร
            เดินทางต่อเพื่อชมสัญลักษณ์ของมาเลเซีย นั่นคือตึกแฝด   เปโตรนาส (Petronas Twin Towers) 
สูง
451.9 เมตร  มี 88 ชั้น มีจุดให้ชมวิวอยู่ที่ชัด 41 สร้างเสร็จปี 1996 ครองสถิติตึกแฝดสูงที่สุดในโลก  ผู้ออกแบบคือ  ซีซ่าแฟรนลี่
            แวะ Shop ร้าน Cocoa Boutique ซื้อ chocolate (ติด 1 ใน 5 ของโลก)
            เวลา 16.30 น. มุ่งหน้าสู่ Genting Highland (ในรัฐปาหัง)  ถึงสถานี Cable Car  เราตื่นเต้นกับการนั่งกระเช้าไฟฟ้า  แม้ไกด์จะบอกเราว่า  ความปลอดภัยหายห่วง  แต่ก็ทำเอาหลายคนเสียวๆ  อยู่เหมือนกัน  ใช้เวลาบนกระเช้าไฟฟ้าประมาณ 15 นาที ท่ามกลางเมฆหมอก และป่าไม้อันเขียวขจีตลอดเส้นทาง  ถึงที่พักประมาณ 1 ทุ่ม  เข้าชมบ่อนคาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมายตามอัธยาศัย  มีเครื่องเล่นนานาชนิดให้เลือกเล่นตามชอบ-  ดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซียคือ ดอก พู่ระหง (ชบาสีแดง)  สัตว์ประจำชาติคือ เสือ
-  พื้นที่โดยทั่วไปทั้งในเมืองและชนบทจะไม่ปรับสภาพให้เสมอกัน เน้นความเป็นธรรมชาติ
-   มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ เมื่อ 31 สิงหาคม 1957   เซ็นต์สัญญาที่เมือง มะละกา  คนมาเลย์
    จะฉลองวันชาติยิ่งใหญ่พอๆ กับวันปีใหม่ (โดยชูกำปั้นแล้วพูดว่า
เมอร์เดก้าแปลว่า เอกราช) 
-  นอกจากนี้มาเลเซียมีสิ่งก่อสร้างที่ติดอันดับโลกอีก  หอคอยเคแอลทาวเวอร์ สร้างเสร็จเมื่อปี 1996 
   สูง 421 เมตร  สูงเป็นอันดับ 4 ของหอคอยทั่วโลก

26 มกราคม 2554
            ทานอาหารเช้าในภัตตาคารของโรงแรม First World  และมายังจุดนัดหมายเพื่อเดินทางต่อ โปรแกรมวันนี้เราจะไปเมืองใหม่  เมืองปุตราจาย่า (Putrajaya) ไกด์แจ้งให้เราทราบว่ากระเช้าไฟฟ้า
งดให้บริการ เนื่องจากสภาพอากาศไม่สู้ดีนัก (มีฝนตกและลมแรง)  อีกทั้งทุก 3 เดือนจะปิดให้บริการเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย   เราต้องเดินทางโดย
Bus  ก็นับเป็นโชคดีของเราที่มีโอกาสเจอการเดินทางทั้งสองรูปแบบ  ทำให้เราเห็นบรรยากาศสองข้างทางซึ่งอยู่บนภูเขาสูง 1,800 เมตร 
            การเดินทางขาลงโดย Bus ทำให้เราเห็นถึงความเข้มงวดของคนมาเลย์เรื่องระเบียบวินัย  Bus เรามีผู้โดยสารเกินจำนวนที่กำหนด 3 คน  เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต น้องๆ Staff และไกด์ เป็นผู้เสียสละ ลงจากรถเพื่อรอบัส คันถัดไปซึ่งต้องเสียเวลาร่วมครึ่งชั่วโมง 
            เวลาประมาณ 9.30 น. เราถึงจะได้เดินทางลงจาก Genting  ขณะรอรถบัสที่ลานจอดรถ ทำให้เราได้สัมผัสอาหารหนาวภายนอกโรงแรมและบรรยากาศรอบๆ  ซึ่งมีทั้งสายหมอก สายฝนและลมแรง  แม้เคยไปสัมผัสอากาศหนาวเมืองเหนือมาแล้วแต่อันนี้สุดยอดกว่า
            ไกด์พาเราแวะ Shop ร้านนาฬิกา Swiss เวลาประมาณ 10.45 น.  เที่ยงก็ทานอาหารจีนที่ภัตตาคาร (เราคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเมนูอาหารได้เลย...เต้าฮู้  ผัดผักบุ้ง  ปลาราดพริก น้ำซุบ)
            ทานอาหารเสร็จเรามุ่งหน้าสู่เมือง ปุตราจาย่า ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ 25 กิโลเมตร  เมืองนี้สร้างโดยแนวคิดของอดีตนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮำหมัด สร้างเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการบริหารประเทศ  หน่วยราชการ กระทรวงทบวงกรมต่างๆ ให้ย้ายมาอยู่ที่นี่ เริ่มสร้างเมื่อปี 2001 ก่อนถึงเมืองปุตราจาย่าเราได้ชมสะพานที่สวยงาม ชื่อ Butra Bridge 
            แวะถ่ายรูปตรงที่พักบนสะพาน กับมัสยิตสีชมพู ปุตรา (Putra Mosque) ด้านหน้าเป็นทะเลสาปเทียมที่ถูกสร้างขึ้นมาเสริมทัศนียภาพให้สวยงาม  มัสยิตแห่งนี้สร้างด้วยหินอ่อน จุคนได้ถึง 15,000 คน  เมื่อเต็มอิ่มกับบรรยากาศของเมืองใหม่ในมุมต่างๆ  ที่ไกด์นำเราไป  ก็เดินทางต่อไปมุ่งสู่เมืองอัญมณีแห่งเอเชีย  (Singapore)

27 มกราคม 2554
            ซาลามัดปากี  (สวัสดีตอนเช้า)  เป็นคำที่เราได้ยินเป็นคำแรกของบังมุส (ไกด์ประจำ bus 2)
            คืนที่ผ่านมาเราแยกพัก 2 โรงแรม คือ Bus 1 และ Bus 2 (1-24) พักโรงแรม A Queen Lavender  ส่วนที่เหลือพัก Fragence Hotel 
            ตื่นเช้ามารับประทานอาหารเช้าของโรงแรม (ดีกว่าภัตตาคารจีนที่เราจำเมนูอาหารได้แล้ว)  ก่อนขึ้นรถเราได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผองเพื่อนที่พัก Fragence  ทำให้เราทราบว่าระเบียบวินัยของสิงคโปร์เขาเข้มงวดจริงๆ  (สหายบางท่านไปทาน breakfast ก่อนเวลาเล็กน้อย เลยโดนไล่ตะเพิด Go Go Go ออกมาแบบขนมปังค้างอยู่ในปาก....นึกภาพออกใช่มั๊ย? 555)
            ก่อนออกเดินทางเราพอมีเวลา  เดินไปถนนสายหนึ่งหาร้านสะดวกซื้อ (Seven)  ไปเจอของในร้านก็ลองหยิบเครื่องคิดเลขออกมาคิดราคาสินค้าเล่นๆ  ก็ทำให้เรารู้ว่าสิงคโปร์น้ำดื่มแพงมาก (บ้านเราขวด 10 บาท แต่ที่นี่ประมาณ 60-70 บาท)  สินค้าอื่นๆ  ก็แพงเป็น 2-4 เท่าในประเทศไทย  (เราเลย
คิดถึงและรักเมืองไทยขึ้นมาอีกมากโขทีเดียว) 
            โปรแกรมในวันนี้เราจะเดินทางสู่เกาะเซ็นโตซ่า (Sentosa Island)  ได้ชื่อว่าเป็นเกาะหรรษา  ระหว่างเดินทางไกด์นำเราแวะร้านขายน้ำหอม และของที่ระลึก  (มีหรือที่พวกเรานักชอปป์จะพลาด) 
            หลังจากนั้นเดินทางต่อไปถนน Orchard  เป็นถนนที่ขึ้นชื่อเรื่องเฟชั่นของสิงคโปร์  แต่แปลกตรงที่นิยมสวมชุดสีดำกัน  (ไกด์ก็ยังไม่เฉลยว่าทำไม...ใครตอบได้ช่วยขยายความด่วน) 
            มื้อเที่ยงเราก็ไม่พ้น Chinese Restoran อีกตามเคย  (หลายคนเริ่มบ่น....แต่ก็ต้องฝืนทาน)  ทานมื้อเที่ยงเสร็จเดินทางต่อสู่เกาะ Sentosa ประสบการณ์ที่นี่เป็นอะไรที่ Amazing นอกจากทิวทัศน์
ที่สวยงามในหลายๆ  บรรยากาศ สิ่งก่อสร้างแปลกตาที่เราเห็นแล้วต้องเก็บภาพไว้  ก็ได้ตื่นเต้นกับการชมภาพยนตร์
4 D Magic  (ค่าเข้าชม $18)  เป็นอะไรที่ตื่นเต้น (ประมาณว่าเปียกจริง เสียวจริง)  และบรรยากาศยามค่ำกับการนั่งชมแสง สี เสียง บนม่านน้ำ เล่าผ่านเรื่องราวนิทานปรัมปรา (ประมาณว่าเจ้าหญิง-เจ้าชาย)   ซึ่งเรียกว่า Song of the sea (ค่าเข้าชม $10)  ก็งามและประทับใจไปอีกนาน
            วันนี้เราเต็มอิ่มกับบรรยากาศของเกาะ Sentosa จริงๆ  นอกจากนี้การเดินทาง Trip นี้ เรายังได้เรียนรู้ภาษามาเลย์  (มลายู)  หลายคำจากบังมุส  ที่เป็นคำศัพท์ง่ายๆ  (จำได้ง่ายและจำได้นานด้วย)  ดังนี้
            ยารักษาโรค      = Ubat (ออกเสียงว่า อุบาต)
            สถานีตำรวจ     = Banlai Polis (ออกเสียงว่า บันลัยโปลิส)
            เข่า                   = Rutus (ออกเสียงว่า รูตูส)
            ห้องสุขา           = Tandas (ออกเสียงว่า ตาลดาส)
            ทางออก           = Keleuar (ออกเสียงว่า ขี่ลั่วร์)
            ก็พอประมาณนะ....นี่ละเราจำได้เม่นเลยโดยเฉพาะ เข่า  (รูตูส) 555
                                                                                   
28  มกราคม 2554
            ซาลามัดปากี....ประโยคแรกของบังมุสที่ทักทายเราในตอนเช้า  (จนเราจำได้แล้วละ)
            เราออกเดินทางตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่  ประมาณ 6 โมง กว่าคณะจะพร้อมก็เกือบ 7 โมงเช้า  วันนี้ทั้งวันเราต้องนั่งบนรถตลอดเส้นทาง (แวะเข้าห้องน้ำเป็นระยะๆ )  จากคำบอกกล่าวของไกด์ คาดการณ์ว่าเราจะถึงบ้าน (นครศรีธรรมราช) ประมาณ เที่ยงคืน
            ประมาณ 18.30 น. เราก็ได้ละลายทรัพย์ (ศัพท์ใหม่อีกคำ) ที่ด่าน ที่นี่ก็สมใจเราเพราะใช้เงินได้ทั้ง 3 สกุล ไทย มาเลย์ สิงคโปร์  มีแทบทุกอย่างที่เราต้องการ (ใกล้เคียงกับตลาดกิมหยงบ้านเรา)  บนรถก็มีทั้งร้องรำทำเพลงตามต้องการ  (ที่สังขารไม่อำนวยก็พักผ่อนตามอัธยาศัย...555.)
            เวลาประมาณ  2  ทุ่ม เราก็หาอาหารทานกันเองตามอัธยาศัยที่ชายแดนไทย   ประมาณ 5 ทุ่มเราก็เดินทางสู่มาตุภูมิ (ราชภัฎนครศรีธรรมราช) โดยสวัสดิภาพ  การเดินทาง Trip นี้เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า  เพราะสิ่งที่เราได้รับเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้พวกเราในหลาย ๆ เรื่อง  สำหรับคนที่มีประสบการณ์ต่างแดนอยู่บ่อยๆ  ก็เป็นการเติมพลัง หรือเติมเต็มแนวคิด  มุมมองใหม่ๆ  เพิ่มขึ้น...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น